วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์

หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก

ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์

1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น

2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง

3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก

4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต

5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ

7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ

8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย

11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง

a. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น ' นิวตร้าสวีต ' ' อีควล ' ' สปูนฟูล ' ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ ' แบรก อมิโน ' หรือเกลือทะเลแทน

b. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร

c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแงดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะ สร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง

d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)

e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง

12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น

13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น

14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป

15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต

16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆจะช่วยให้่ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

คุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง

ถั่วเหลืองมีสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ตัวหนึ่งที่โดดเด่นและน่าสนใจคือ กลุ่ม ไอโซฟลาโวนส์ Isoflavones ตัวอย่างเช่น geistein ,daidzeinซึ่งทำหน้าที่คล้ายฮอร์โมน เอสโตรเจนในร่างกาย

ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองจึงมีประโยชน์อย่างมากสำหรับคุณสุภาพสตรี โดยเฉพาะที่มีภาวะหมดประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมการเสริมสร้างกระดูกของร่างกาย และยังช่วยรักษาความชุ่มชื้น ยืดหยุ่นของผิวหนัง การทานน้ำนมถั่วเหลือง หรือเต้าหู้ก็เป็นอีกหนทางที่ดีที่จะช่วยคุณสุภาพสตรีลดหรือบรรเทาอาการข้างเคียงจากภาวะหมดประจำเดือน

คุณประโยชน์อื่นๆที่น่าสนใจยังมีอีกเพราะถั่วเหลืองไม่ได้มีคุณประโยชน์เพียงแค่ผู้หญิง แต่ผู้ชาย จนถึงเด็กๆต่างก็ได้รับประโยชน์จากถั่วเหลืองได้ดังข้อมูลที่จะกล่าวต่อไป:

- ช่วยลดและป้องกัน โรคมะเร็งเต้านม และ บรรเทาอาการ ข้างเคียงจาก ภาวะหมดประจำเดือน

- ช่วยป้องกันและแก้ไข โรคหัวใจ เนื่องจากเป็นอาหารที่ไม่มีคอเรสเตอรอล มีไฟเบอร์สูง นอกจากนี้ยังมี โอเมกา 3 และวิตามินอี

- ช่วยป้องกันและยับยั้งโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก แม้ว่ากลไกในการทำงานของมันเรายังไม่ทราบ แต่นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่รับประทานผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองยิ่งมากเท่าไร การเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากยิ่งพบน้อยลง

- ช่วยป้องกันโรคระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากถั่วเหลืองมีไฟเบอร์สูง ไฟเบอร์เหล่านี้จะช่วยทำความสะอาดระบบทางเดินอาหาร - ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ได้

- เป็นแหล่งโปรตีนสำคัญสำหรับนักมังสวิรัต เพราะถั่วเหลืองมีสารอะมิโน เอซิด ที่จำเป็นต่อร่างกาย

- ใช้แทนน้ำนมวัว ในเด็กที่แพ้นมวัวและแพ้แลคโตสในนม เราสามารถใช้น้ำนมถั่วเหลืองชดเชยได้

- ใช้เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะถั่วเหลืองมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบน้อย และยังไม่มีคอเลสเตอรอล

ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น น้ำเต้าหู้ เต้าหู้ประเภทต่างๆ

18 สาเหตุ ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรง + อ่อนเพลีย

18 สาเหตุ ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรง + อ่อนเพลีย

18 คำตอบ เวลาที่คุณรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง เวลาที่เราอ่อนเพลีย เรามักโทษความเครียดและการนอนน้อย แต่ยังมีสิ่งผิดปกติอื่นอีกที่สามารถสูบพลังจนหมดตัวคุณได้ โชคดีที่เรามีวิธีเรียกพลังใจและกายกลับคืนมา
1. ใช้โทรศัพท์มากเกินไป คุณจะเสียน้ำในร่างกายไปทางปากขณะพูด ซึ่งเป็นอาการที่เรียกว่า Phone-Fatigue ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพนักงานตามศูนย์บริการลูกค้า อาการขาดน้ำทำให้เลือดแข็งตัวและลดปริมาณออกซิเจนในระบบที่เป็นตัวให้พลังงาน ดังนั้น ถ้าคุณใช้โทรศัพท์นาน ควรดื่มน้ำมากๆ ระหว่างคุย
2. ความดันเลือดต่ำ ความดันเลือดต่ำคือสาเหตุใหญ่ที่คุณหมดแรง แพทย์ยังไม่รู้ว่าทำไม แต่เป็นไปได้ว่ามันทำให้เลือดส่งไปยังสมองไม่เต็มที่ ซึ่งอาจทำให้อ่อนเพลีย อาการที่พบได้บ่อยที่สุดในคนที่มีความดันเลือดต่ำคือ รู้สึกหน้ามืดเวลาลุกขึ้นปุบปับ หรือเวลายืนนานๆ ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์
3. เล่นเน็ตดึกเกินไป ฮอร์โมนเมลาโตนิน (Melatonin) จะกระตุ้นให้เรานอนหลับ แต่แสงจากจอคอมพิวเตอร์อาจทำให้เราหลับยาก โดยเฉพาะเมื่อคุณกำลังดูสิ่งที่สนใจอยู่ ซึ่งทำให้คุณมักนอนดึก และมีเวลานอนหลับน้อยลง ให้คุณทำอย่างอื่นที่ผ่อนคลายกว่า เช่น อ่านหนังสือแล้วดูสิว่าคุณจะตื่นตัวมากกว่าเดิมในวันใหม่หรือเปล่า
4. กินอาหารไม่เต็มที่ การเฝ้ารออาหารจะเพิ่มปริมาณน้ำย่อย และทำให้เราดูดซับสารอาหารได้มากขึ้นที่มันเกี่ยวกับอาการอ่อนเพลียก็เพราะการขาดธาตุเหล็กคือหนึ่งในสาเหตุของความอ่อนเพลียที่พบมากในผู้หญิง ดังนั้นไม่ว่าอะไรที่เพิ่มระดับสารอาหารให้คุณ ก็จะเพิ่มพลังใจและกายให้ด้วย
5. ไม่ออกกำลัง นักวิจัยพบว่าคนที่ออกกำลังอย่างน้อย 20 นาที แม้จะแค่อาทิตย์ละครั้งก็จะรู้สึกอ่อนเพลียน้อยกว่า คนที่ไม่ออกกำลังเลยประมาณ 30% ถ้าเห็นว่าออกกำลังเป็นเรื่องยากเกินไปให้คุณกินผักและผลไม้เพิ่ม คนที่กินผักผลไม้อย่างน้อย 4 – 5 จานต่อวันจะออกกำลังได้อย่างสบายๆ
6. อิทธิพลของเดือนเกิด ถ้าคุณเกิดเดือนธันวาคม หรือมกราคม จะอ่อนเพลียในช่วงเย็นมากกว่าคนที่เกิดเดือนมิถุนายน หรือกรกฎาคมที่จะขี้เซาในยามเช้า นักวิทยาศาสตร์บอกว่า การสัมผัสของแสงแดดยามเช้าประมาณ 15 นาที จะทำให้คนประเภทหลังตาสว่าง ส่วนกาแฟยามบ่ายจะเพิ่มพลังให้กับคนประเภทแรก
7. กรามแข็ง คุณสามารถใส่นิ้ว 3 นิ้วเรียงเป็นแนวตั้งเข้าปากพร้อมกันหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ คุณคงมีปัญหาที่เรียกว่า โรค TMJ (TemporomandiBular Joint Disorder) แพทย์บอกว่ามันคือความไม่สมดุลระหว่างกล้ามเนื้อใกล้กราม และตำแหน่งของฟัน อาการทั่วไปคืออ่อนเพลีย และปวดหัว ปวดคอ หรือไหล่ ควรปรึกษาทันตแพทย์
8. ธรณีหน้าต่างสกปรก จากการวิจัยพบว่า 88% ของบ้านทั่วไปจะมีราขึ้นตามหน้าต่าง และการแพ้เชื้อราเหล่านี้เองคือ สาเหตุหนึ่งของความอ่อนเพลีย ใช้ผงซักฟอกทำความสะอาดและตรวจดูผ้าม่านอาบน้ำของคุณด้วยว่ามีราหรือเปล่า
9. ไม่ได้เอาผ้าห่มไปผึ่งแดด ระดับความขึ้นสูงทำให้ไรฝุ่นเติบโตได้ดี มันอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบตามหลอดลมในปอด ทำให้หายใจติดขัดและนอนหลับไม่สนิท และเป็นสาเหตุของความอ่อนเพลียในวันต่อมา นำผ้าห่มผึ่งแดด เป็นประจำเมื่อความชื้นหมดไป ก็ไม่มีไรฝุ่น
10. เชื่องช้า งุ่มง่าม ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้นเมื่อคุณงุ่มง่าม เพราะปริมาณกลูโคสเข้าสู่สมองน้อยลง คุณเลยอ่อนเพลีย การผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดทำได้โดยเหวี่ยงแขนไปหน้าและหลัง สลับทีละแขน
11. อยู่ใกล้คนมองโลกในแง่ร้าย คนที่มองทุกอย่างในแง่ร้ายจะฉุดพลังคุณหดหายไปด้วย เพื่อลดอิทธิพลของพวกเขาให้จินตนาการว่า คุณกำลังใส่เสื้อคลุมสีดำเวลาคุยกันก็จะยับยั้งไม่ให้คุณดูดพลังแง่ลบจากพวกเขาได้
12.. อยู่ใกล้เครื่องใช้ ไฟฟ้ามากเกินไป ขั้วบวกที่มาจากอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ หรือเครื่องปรับอากาศอาจกระตุ้นให้เกิดฮอร์โมนที่ทำให้เราอ่อนเพลียและซึมเศร้า ให้เสียบปลั๊กตัวแปลงขั้วไฟฟ้าเพื่อเพิ่มระดับของขั้วลบที่เสริมพลังในอากาศ
13. ลืมดื่มกาแฟตอนเช้า ถ้าคุณไม่ได้ดื่มกาแฟยามเช้า พลังกายและใจอาจตกวูบในวันนี้ จากงานวิจัยพบว่าผู้ร่วมวิจัย 50% มีอาการอ่อนเพลียถ้าไม่ได้ดื่มกาแฟถ้วยแรกของวัน ซึ่งมีถึง 13% ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
14. บ้านรก ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยบอกว่ากองสิ่งของรกเกะกะจะทำให้สถานที่นั้นขาดพลังและกระตุ้นให้คุณขาดพลังไปด้วย คุณไม่ต้องถึงกับเก็บทุกอย่างในทันที แค่สะสางพื้นที่อาทิตย์ละครั้งก็ใช้ได้
15. ร่างกายมีปัญหา แม้ว่าการเจ็บหน้าอกคือสัญญาณหลักๆ บอกถึงอาการโรคหัวใจ แต่สำหรับเพศหญิงสัญญาณนั้นอาจเป็นความอ่อนเพลีย ซึ่งมีมากถึง 70% ที่อ่อนเพลียภายในเดือนนั้น ก่อนหัวใจกำเริบ สัญญาณอื่นๆ อาจ รวมถึงการนอนไม่หลับ หายใจขาดห้วง อาหารไม่ย่อย และความเครียด 43% ของผู้หญิงไม่มีอาการเจ็บ หน้าอกเลย แม้โรคหัวใจจะกำเริบก็ตาม พบผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือนเป็นโรคหัวใจน้อยมาก แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีควรตรวจร่างกาย โดยเฉพาะถ้าคุณมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น สูบบุหรี่ ความดันเลือดสูง คลอเรสเตอรอลสูง เป็นเบาหวาน หรือคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ
16. กลั้นหาว การหาวเป็นวิธีธรรมชาติที่ร่างกายของเรากระตุ้นให้เราตื่น นักจิตวิทยาบอกว่าการเคลื่อนไหวของ กรามจะบีบหลอดเลือดบนใบหน้า ซึ่งส่งเลือดไปยังสมอง การกลั้นหาวจึงเป็นการยับยั้งกระบวนการนี้ และทำให้คุณยิ่งง่วงนอนมากขึ้น
17. ใช้ชีวิตตามตาราง ตารางกิจกรรมที่เตือนคุณทุกอย่างว่าต้องทำอะไรบ้างคือตัวดูดพลังชั้นดี นักวิจัยพบว่าคนที่คิดว่าเขา ทำอะไรไปได้มากแค่ไหนมักจะอ่อนเพลียง่ายกว่าคนที่ทำสิ่งที่ต้องทำไปเรื่อยๆ
18. หมอนเก่าเกินไป ถ้าหมอนของคุณยวบยาบไม่แข็งพอ จะทำให้ลำคอของคุณไม่ได้ระนาบเดียวกับลำตัว ซึ่งไม่เพียงทำให้กล้ามเนื้อตึงตัวซึ่งทำให้คุณนอนไม่หลับแล้ว ยังไปกีดขวางระบบการหายใจเวลาคุณหลับด้วย ถ้าหมอนของคุณอ่อนนิ่มจนโอบรอบแขนคุณได้ก็ถึงเวลาซื้อใบ.ใหม่แล้ว

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประสบการณ์ ผู้ป่วย ไข้หวัด2009

E-mail จาก คุณ กิ๊บ ค่ะ
Subject: FW: ประสบการณ์ ผู้ป่วย ไข้หวัด2009

Date: Wed, 8 Jul 2009 14:17:19

อย่าเชื่อข้อมูลของ สธ. .. เรากับลูกก็ป่วย ตอนนี้ก็ยังอยู่ที่ รพ. ข้อมูลที่ Under Report มีอีกเยอะมาก อย่าง case ของเราก็under เหมือนกัน เรื่องของเรื่อง ลูกเรา (6 ขวบกว่า) ป่วยก่อน เมื่อ 2 วันก่อนเค้ามีอาการปวดหัวรุนแรงและไข้สูงมาก ให้ทานยาลดไข้ ไข้ก็ไม่ยอมลดลง เช็ดตัวก็แล้วทำอย่างไรๆ ไข้ก็ไม่ลดลง

เราเลยตัดสินใจพามา รพ. เมื่อพบหมอ เรายืนยันกับหมอว่าเราจะขอทำ Screen Flu (เป็นการ Screen หาความเสี่ยงเบื้องต้น) การทำ Screen Flu หมอจะทำให้เฉพาะผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อ เช่นคลุกคลีกับผู้ป่วยโดยตรง แต่ลูกเราไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ทุกคนที่บ้านแข็งแรงดี โรงเรียนก็รักษาสุขอานามัยอย่างดี เราไม่พาลูกไปในที่ชุมชนและไม่ให้ว่ายน้ำในสระมาเดือนกว่าแล้ว จึงไม่ควรจะติดเชื้อได้ แต่ถึงอย่างไรเราก็ยืนยันกับหมอว่าเราจะขอ Screen

ลืมบอกไปว่าลูกเรา (และเราด้วย) ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ (ธรรมดา) ไปเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมานี่เอง ดังนั้นโอกาสที่จะเป็นไข้หวัดใหญ่ธรรมดาคงจะไม่มีแน่ๆ และเมื่อผล Screen ออกมาในครั้งนั้นปรากฎว่าลูกเราเป็น Negative(หมายถึงไม่ติดเชื้อในกลุ่มของ H1N1) เราและหมอยังไม่นิ่งนอนใจ เราเลยขอหมอ Admit เพื่อความสบายใจ เนื่องจากลูกเราไข้สูงมาก (โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 39องศา)

คุณหมอให้เราพักที่โรงพยาบาลตามที่เรา Request และเมื่อถึงตอนเช้าคุณหมอมาเยี่ยมและขอนำเชื้อไปทำ Screen Fluอีกเป็นครั้งที่ 2 เรายินดีตามที่หมอเสนอ เพราะหมอให้ความเห็นว่า เมื่อการตรวจครั้งแรกนั้น ระยะห่างระหว่างการจับไข้กับการตรวจห่างกันแค่ 4 ชั่วโมง อาจจะยังไม่ปรากฎการติดเชื้อให้เห็นชัด แต่ถ้าไข้ยังสูงขนาดนี้ขอตรวจอีกครั้งเพื่อความชัวร์ดีกว่า

เมื่อผลตรวจออกมา ลูกเรา Positive จริงๆ และหมอถามเราว่าต้องการส่งตรวจหา 2009 ต่อหรือเปล่า แต่เราปฏิเสธเพราะทั้งหมอและเรารู้อยู่แล้วว่าลูกเราติดเชื้อแน่ๆ (เค้าไม่มีทางเป็นไข้หวัดใหญ่ธรรมดา เพราะเพิ่งฉีดวัคซีนไป และข้อบ่งชี้ค่อนข้างเด่นชัด)

อ้อ .. ลืมบอกไปอีกว่าถ้าผล Screen Flu ออกมาเป็น Positive จะมีความหมายว่า มีโอกาสติดเชื้อด้วยกัน 3 ตัวคือ H1N1 ไข้หวัดใหญ่ธรรมดา, H1N1 ไข้หวัดใหญ่ 2009, และตัวสุดท้ายคือ H2N3 ซึ่งคนไทยไม่ค่อยเป็น ซึ่งถ้าติดเชื้อตัวใดตัวหนึ่งใน 3 ตัวนี้วิธีรักษาจะเหมือนกันทั้ง 3 ตัว

ดังนั้นถ้าผลการตรวจออกมาเป็น Positive หมอจะถามว่าต้องการให้ส่งตรวจ Final เพื่อดูว่าเป็นไข้หวัด 2009 หรือไม่ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกประมาณ 2,500 บาท แต่หมอก็จะบอกว่าแต่อย่างไรก็ตามวิธีการ treat ก็เหมือนกันกับไข้หวัดใหญ่ตัวอื่นๆ อยู่แล้ว และเมื่อเราไม่ส่งตรวจเพื่อ Final ข้อมูลของลูกเราก็จะไม่ถูกส่งไปที่ สธ. และอยากจะบอกว่า

วันที่ลูกเรามา รพ. นั้น เชื้อได้เข้าไปถึงหูชั้นในและโพรงจมูกแล้ว ซึ่งระยะเวลาจับไข้กับการพบหมอห่างกันเพียง 4 ชั่วโมง

ซึ่งอยากจะเตือนทุกท่านว่าเชื้อตัวนี้แรงและแพร่เร็วมาก อย่านิ่งนอนใจถ้าท่านหรือบุตรหลานของท่านมีไข้สูง ปวดศรีษะมาก ขอหมอตรวจเพื่อให้ละเอียดเลยดีกว่าค่ะ หลังจากเรามาเฝ้าลูกเพียงแค่วันเดียว ปรากฎว่าเราเริ่มมีอาการปวดเมื่อยตามตัวและเป็นไข้ ไอไม่หยุด เราจึงรีบไปตรวจปรากฎว่าเราก็ติดเชื้อเหมือนลูกแต่ที่น่ากลัวคือ เราเป็นไข้แค่ 3 ชั่วโมงแต่เมื่อไปตรวจ ปอดของเราเริ่มมีอาการติดเชื้อแล้ว ถ้าทิ้งไว้นานกว่านี้อาจจะเป็นปอดอักเสบ หรือโรคแทรกซ้อนอย่างอื่นๆ ได้ วันนี้เป็นวันที่ 3 ที่เราอยู่ รพ. อาการของลูกดีขึ้นมาก และจะกลับบ้านวันนี้แล้ว ส่วนเรายังอ่อนเพลียอยู่ ยังมีอาการปวดตามตัวอยู่บ้าง แต่ดีขึ้นจากเมื่อวานเยอะมาก และคงจะขอหมอกลับบ้านพร้อมลูกเลย

อยากเตือนว่า ไข้หวัด 2009 ติดง่าย ป่วยไว ลุกลามไว ติดเชื้อไว แต่รักษาง่าย หายไว ถ้ารีบรักษาภายใน 48 ชั่วโมง ดังนั้นถ้าท่านหรือคนใกล้ชิดท่านป่วยมีไข้ ปวดศรีษะ ปวดตามตัวและไอ อย่านิ่งนอนใจ รีบตรวจโดยด่วนเลยค่ะ ด้วยความปรารถนาดีค่ะเพิ่งหายจากไข้หวัด 2009

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

'เกาต์' อีกโรคที่ต้องระวัง

โรคเกาต์ เป็นหนึ่งในบรรดาโรคที่มีอาการปวดที่ข้อที่พบมาก ที่สุด ซึ่งส่วนมากแล้วจะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เกาต์เป็นอาการของโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นโรคทาง พันธุกรรมที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติในการใช้สาร พิวรีน (purine) ทำให้เกิดสารยูริกในเลือดสูง ร่วมกับอาการจากการตกตะกอนของสารยูริกในข้อ ที่ไต และใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดอาการปวดข้อที่มีการอักเสบ
เมื่อถึงบรรทัดนี้ คงมีคำถามเกิดขึ้นว่า สารยูริกคืออะไร? แล้วจะควบคุมปริมาณได้อย่างไร?
สารยูริก (Uric acid) คือ สารที่ได้จากการย่อยสลายของสารที่มีพิวรีนเป็นส่วนประกอบจากการรับประทานอาหารและจากร่างกายผลิตขึ้นเอง สามารถตรวจได้โดยการเจาะเลือดหรือตรวจผลึกยูริกในน้ำจากข้อที่อักเสบ กรดยูริกจะพบได้ในเนื้อสัตว์ ข้าวสาลี เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ เซี่ยงจี๊ เป็นต้น ร่างกายจะย่อยพิวรีนจนกลายเป็นกรดยูริก และจะขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ ในคนปกติกรดยูริกจะถูกสร้างขึ้นในอัตราช้าพอที่ไตจะขับออกได้หมดทันกับการสร้างขึ้นพอดี ส่วนในคนที่เป็นโรคเกาต์ พบว่าเกิดความผิดปกติของกระบวนการใช้และขับถ่ายสารพิวรีน
กว่า 90% ของผู้ป่วยโรคเกาต์ เกิดจากการที่กรดยูริกถูกสร้างขึ้น แต่ไตทำหน้าที่ขับถ่ายออกมาได้ช้าหรือน้อย จนทำให้เกิดการสะสมของกรดยูริกในร่างกายมากขึ้น เมื่อกรดยูริกอยู่ในระดับสูงก็ทำให้เป็นเกาต์ได้
อาการของโรคเกาต์
มีอาการปวด บวม แดง และร้อนตามข้ออย่างเฉียบพลัน อาจรุนแรงถึงกับเดินลงน้ำหนักหรือใช้งานข้อไม่ได้ อาการนี้อาจเป็น ๆหาย ๆ อาจทิ้งระยะเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน หรือเป็นปีก็ได้ ซึ่งอาการปวดอาจเป็นข้อเดียว หรือหลายข้อพร้อมกัน บริเวณที่พบบ่อย ได้แก่ ข้อโคนนิ้ว หัวแม่เท้า ข้อเท้า หรือข้อเข่า นอกจากอาการปวดตามข้อแล้ว อาจมีอาการของนิ่วในทางเดินปัสสาวะร่วมด้วย
สาเหตุของโรคเกาต์
อาจพบว่าเกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่ กรรมพันธุ์ ซึ่งมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเกาต์ ปัจจัยเรื่องอายุ มักพบในวัยกลางคนช่วงอายุ 40-50 ปี ผู้ชายเป็นมากกว่าผู้หญิง อาจพบในวัยหลังหมดประจำเดือน คนที่รับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนมาก ๆ ความอ้วน และน้ำหนักตัวมาก ทำให้มีโอกาสเป็นเกาต์มากขึ้น ขณะที่การดื่มแอลกอฮอล์และรับประทานยาบางชนิดจะลดการขับยูริก ทำให้เป็นเกาต์ได้เช่นกัน
การสังเกตอาการสามารถทำได้ โดยสำรวจตัวเองว่ามีอาการปวดข้ออย่างเฉียบพลันหรือไม่ โดยใช้วิธีตรวจหาร่วมกับการเจาะเลือดเพื่อหาระดับยูริกในเลือด เจาะน้ำจากการอักเสบในข้อที่บวม ตรวจพบผลึกยูริก ถ่ายภาพเอกซเรย์บริเวณข้อที่มีอาการอาจพบการทำลายของกระดูก และกระดูกอ่อนผิวข้อ อาจคลำได้ว่ามีปุ่มของผลึกยูริกใต้ผิวหนัง (โทฟัส) หรือตรวจปัสสาวะอาจพบว่ามีการขับยูริกออกทางไตได้น้อย หากตรวจพบว่ามีอาการผิดปกติดังกล่าว แพทย์จะเริ่มทำการรักษาโดยทันที
หลักการรักษา
การรักษาหลัก ๆ ของโรคเกาต์คือ การลดระดับกรด ยูริกในร่างกาย และป้องกันการกำเริบของการอักเสบในข้อ นอกจากนี้ยังควรงดการดื่มสุรา เลี่ยงการนอนดึก หรือภาวะเครียด ในรายที่อ้วนควรลดน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รักษาโรคประจำตัวอื่น ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ดื่มน้ำมาก ๆ ให้เพียงพอ เพื่อเพิ่มการขับยูริกออกจากร่างกาย และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ เนื้อแดง ยอดผัก หรือต้นอ่อนพืช
สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องข้ออักเสบควรลดการใช้งานหรือลงน้ำหนักข้อที่มีอาการ ใช้ความร้อนประคบ หรือแช่บริเวณที่มีการอักเสบ หลีกเลี่ยงการนวดที่รุนแรงหรือบีบรัดแน่น รับประทานยาต้านอักเสบหรือยาโคล์ชิซีน (colchicines) ตามแพทย์สั่ง หลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่มีส่วนผสมของแอสไพรินหรือสเตียรอยด์เอง เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง
นอกจากการรักษาทางการแพทย์แล้ว การควบคุมอาหารที่มีปริมาณพิวรีนสูงก็เป็นสิ่งจำเป็น จึงควรงดอาหารที่มีพิวรีนสูงมากกว่า 150 มิลลิกรัม ต่อ อาหาร 100 กรัม เช่น ตับอ่อน เครื่องในสัตว์ทุกชนิด ไข่ปลา ปลาไส้ตัน ปลาอินทรีย์ ปลาดุก ปลาซาร์ดีนกระป๋อง มันสมองวัว กุ้งชีแฮ หอย ถั่วดำ เขียว แดง เหลือง น้ำสลัดเนื้อ ซุปก้อน แตงกวา ชะอม สะเดา กระถิน เป็นต้น
ส่วนอาหารที่มีปริมาณพิวรีนน้อยกว่า15 มิลลิกรัม ต่อ อาหาร 100 กรัม ที่ไม่ต้องควบคุมได้แก่ นมสด ผลิตภัณฑ์จากนม ไข่ทุกชนิด ธัญพืชต่าง ๆ ผักทั่วไป น้ำตาลและขนมหวาน เจลาติน ข้าว ขนมปังไม่เกิน 2 แผ่นต่อมื้อ เนยแข็ง เนยเหลว ผลไม้ปอกเปลือก และผลไม้ทั่วไป
การจำกัดปริมาณพิวรีนในอาหารเป็นสิ่งจำเป็นต่อการรักษาโรคเกาต์บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยมักมีอาการปวดกำเริบขึ้นโดยที่ตัวเองไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ดังนั้น ควรศึกษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อป้องกันการกำเริบของอาการที่อาจมีความรุนแรงขึ้น.

ภาควิชาออร์โธปิดิกส์และภาควิชาพยาบาลศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ที่มา:หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ : วันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ต้อกระจก

http://www.electron.rmutphysics.com/science-news/index.php?option=com_content&task=view&id=874&Itemid=4


http://www.thaiclinic.com/cataract.html

http://www.lasikthai.com/th/treatment/cataract/default.php

http://dr.yutthana.com/cataract.html

http://blog.eduzones.com/winny/3092

มนุษย์เราว่า ทำอะไรบ้างในแต่ละชั่วโมง

นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียได้วิจัยและค้นคว้าร่างกายของมนุษย์เราว่า ทำอะไรบ้างในแต่ละชั่วโมง

*01.00 น. คนส่วนใหญ่จะนอนหลับ ร่างกายจะมีความรู้สึกไวต่อความเจ็บปวดมาก
02.00 น. นอกจากตับแล้ว ส่วนต่างๆ ของร่างกายจะเคลื่อนไหวช้ามาก
03.00 น. ร่างกายทั้งหมดจะพักผ่อน กล้ามเนื้อจะผ่อนคลาย ความดันจะต่ำ ชีพจรจะเต้นช้า การหายใจก็จะช้า

*04.00 น. สมองได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงน้อยมาก ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ตายไปในระยะเวลานี้
05.00 น. ไตจะไม่ทำหน้าที่กรอง เนื่องจากเราได้พักผ่อนมาระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้น ในเวลาตื่นนอนอารมณ์จะรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ

06.00 น. ความดันเลือดจะสูงขึ้น หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น

07.00 น. ภูมิต้านทานโรคในช่วงนี้จะดีมาก เพราะร่างกายได้พักผ่อนมาแล้ว

*08.00 น. ตับจะทำหน้าที่ขับพิษออกจากร่างกาย ในช่วงนี้ไม่ควรดื่มสุรา

09.00 น. จิตใจ อารมณ์ การทำงานจะดีมากในช่วงนี้

10.00 น. เป็นช่วงที่ร่างกายและสุขภาพจะดีมาก เหมาะที่จะทำงาน

11.00 น. เป็นช่วงที่ขยันขันแข็งในการทำงาน ร่างกายยังไม่อ่อนเพลีย

12.00 น. ช่วงตอนที่จะหยุดงาน ทางที่ดีที่สุดอย่าเพิ่งรับประทานอาหาร ควรจะรอช้ากว่าไปอีกสักหน่อย แล้วทานเอาช่วงเวลาประมาณ 12.30 หรือ 13.00 น. ก็จะดี

13.00 น. ตับจะพักผ่อน เนื่องจากเวลาการทำงานที่ดีได้ผ่านไปแล้ว ร่างกายในช่วงนี้จะเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย

*14.00 น. เป็นช่วงระยะเวลาที่ร่างกายรู้สึกอืดอาด เชื่องช้าที่สุดในระยะหนึ่งของแต่ละวัน

15.00 น. ระบบต่างๆ ของร่างกายจะมีปฏิกิริยาที่ไวมาก สมรรถภาพของพละกำลังเริ่มฟื้นฟูขึ้น

16.00 น. ในกระแสเลือด จะมีน้ำตาลเพิ่มขึ้น แต่ก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว

17.00 น. สมรรถภาพในการทำงานจะเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากนักกีฬาที่ออกกำลังกาย จะมีเรี่ยวแรงเพิ่มมากขึ้น

18.00 น. ความรู้สึกต่ออาการเจ็บปวดจะลดน้อยลง ขอให้เพิ่มการออกกำลังกาย

*19.00 น. ความดันของเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น อารมณ์จะไม่ค่อยดีนัก มักจะเกิดงขึ้นได้ด้วยสาเหตุเล็กๆน้อยๆ

20.00 น. น้ำหนักตัวจะรู้สึกเพิ่มมากขึ้น สะท้อนออกถึงความผิดปกติอย่างรวดเร็ว

*21.00 น. อารมณ์จะกลับเข้าสู่สภาพปกติ ความจำจะดีขึ้นสามารถคิดสิ่งต่างๆ ออกได้

22.00 น. ในกระแสโลหิต จะเต็มไปด้วยเม็ดเลือดขาว อุณหภูมิในร่างกายจะลดต่ำลง

*23.00 น. ร่างกายตระเตรียมพักผ่อน เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ที่สึกหรอ

24.00 น. เข้าสู่ชั่วโมงแห่งการหลับไหล

********